รฟท.ลงนามร่วมกับ กทท. หนุนระบบขนส่งทางราง ทางน้ำเป็นระบบขนส่งหลักของประเทศ
รฟท.ลงนามร่วมกับ กทท. หนุนระบบขนส่งทางราง ทางน้ำเป็นระบบขนส่งหลักของประเทศ ชี้ต้นทุนต่ำ เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์โลจิสติกส์ยุคใหม่ ตั้งเป้าขนส่งตู้สินค้าแตะ 2 ล้าน TEU ใน 10 ปี
นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ณ ห้องประชุมบุรฉัตร สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ว่า รฟท. และ กทท. ในฐานะรัฐวิสาหกิจภายใต้กำกับของกระทรวงคมนาคม ต่างมีบทบาทสำคัญในการให้บริการด้านโลจิสติกส์ของประเทศ ทั้งในรูปแบบขนส่งทางรางและทางน้ำ ซึ่งมีข้อได้เปรียบในแง่ต้นทุนพลังงานที่ต่ำ ความปลอดภัยสูง และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าระบบขนส่งรูปแบบอื่น อีกทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายการขนส่งของภาครัฐ ที่มุ่งส่งเสริมการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งไปสู่ระบบที่ยั่งยืนมากขึ้น จึงเกิดความร่วมมือในครั้งนี้ขึ้น
ด้าน นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) กล่าวว่า การลงนามครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาระบบขนส่งสินค้าทางรางของไทย โดยทั้งสองหน่วยงานมีการขนส่งสินค้าเชื่อมโยงระหว่างกันตั้งแต่ปี 2538 จากการขนส่งสินค้าผ่านสถานีบรรจุและแยกสินค้าลาดกระบัง (ICD ลาดกระบัง) ซึ่งปัจจุบันท่าเรือแหลมฉบังมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการยกขนตู้สินค้าทางรถไฟด้วยโครงการ SRTO มีปริมาณการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟมากกว่า 5 แสนทีอียูต่อปี และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การลงนาม MOU ระหว่างสองหน่วยงานในครั้งนี้ ตั้งเป้าขยายปริมาณการขนส่งตู้สินค้าให้แตะ 2 ล้านทีอียูต่อปี ภายในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งจะช่วยลดภาระการขนส่งทางถนน และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางรางในระดับภูมิภาค ยกระดับประสิทธิภาพการขนส่งสินค้า ลดความหนาแน่นบนเส้นทางคมนาคม ช่วยลดต้นทุนการขนส่ง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์ในทุกมิติ
ขณะที่ นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า ความร่วมมือของทั้งสองหน่วยงานนับเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางราง เพื่อเชื่อมโยงกับฐานการผลิตทั้งภาคอุตสาหกรรมและการเกษตรทั่วประเทศ มุ่งเน้นให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากการขนส่งทางถนนไปสู่ระบบรางที่มีศักยภาพในการรองรับปริมาณการขนส่งได้มากกว่า ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และลดการปล่อยมลพิษ เพื่อร่วมกันยกระดับศักยภาพระบบโลจิสติกส์ของประเทศให้ทันสมัยและยั่งยืน โดยมุ่งส่งเสริมการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการใช้พลังงาน และบรรเทาความแออัดของการจราจรบนท้องถนนโดยใช้โครงข่ายระบบรางเป็นกลไกหลัก โดยเฉพาะเส้นทางเชื่อมต่อกับท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางทะเลของประเทศ รวมถึงการส่งเสริมการใช้บริการขนส่งทางรางผ่านท่าเรือระนอง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในภูมิภาคอันดามันด้วย
นอกจากนี้ ความร่วมมือยังครอบคลุมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ และการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้สอดรับกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมขนส่ง ตลอดจนการดำเนินงานภายใต้หลักความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ และสร้างความเชื่อมั่นในระบบขนส่งทางรางให้เป็นทางเลือกหลักของประเทศในอนาคต ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าวมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 10 ปี พร้อมกำหนดเป้าหมายรายปีอย่างชัดเจน มีระบบติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุผลสัมฤทธิ์สูงสุดทั้งในระดับองค์กร ผู้ประกอบการ และประชาชนในภาพรวม
----------------------------
By: วัฒนรินทร
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น