ไทยให้สัตยาบันอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 155 ก้าวสำคัญสู่มาตรฐานความปลอดภัยแรงงานระดับสากล
ไทยให้สัตยาบันอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 155 ก้าวสำคัญสู่มาตรฐานความปลอดภัยแรงงานระดับสากล
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังเข้าพบหารือกับ นายกิลเบิร์ต ฮุง โบ ผู้อำนวยการใหญ่องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) เพื่อยืนยันบทบาทของประเทศไทยในเวทีแรงงานโลก และรายงานความคืบหน้าการดำเนินนโยบายด้านแรงงานที่สำคัญ พร้อมกับประเทศไทยให้สัตยาบันอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 155 ว่าด้วยความปลอดภัยในการทำงาน พร้อมพิธีสาร ค.ศ.2002 ณ อาคารสหประชาชาติ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส พร้อมด้วยนายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง ทั้งนี้ การให้สัตยาบันในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การลงนามในเอกสาร แต่เป็นการแสดงจุดยืนของประเทศไทยว่าเราพร้อมสร้างสถานที่ทำงานที่ปลอดภัย มีคุณภาพ และคำนึงถึงศักดิ์ศรีของแรงงานทุกคน ไม่ว่าจะเป็นแรงงานไทยหรือต่างชาติ เพราะความปลอดภัยในการทำงานคือรากฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน สำหรับกรณีการผลักดันให้สัตยาบันอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 155 อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานรายงานว่า การดำเนินการครั้งนี้เป็นผลจากการขับเคลื่อนตามนโยบายหลักของนายพิพัฒน์ที่มุ่งเน้นส่งเสริมความปลอดภัย 3 ด้าน ได้แก่ 1. การบังคับใช้กฎหมายความปลอดภัยอย่างจริงจัง 2.การสร้างความตระหนักรู้ในสถานประกอบกิจการ 3.การปลูกฝังวัฒนธรรมความปลอดภัยให้ยั่งยืนในทุกมิติ
"เรามุ่งมั่นให้แรงงานไทยมีชีวิตการทำงานที่มีความปลอดภัย และ อาชีวอนามัย สามารถพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทำงานในอนาคตอย่างมั่นใจ นี่คือหัวใจของการเป็นแรงงานที่เข้มแข็ง และประเทศไทยจะไม่หยุดพัฒนาในเรื่องนี้” นายพิพัฒน์ กล่าว
ด้าน นายกิลเบิร์ต ฮุง โบ ผู้อำนวยการใหญ่องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ได้แสดงความชื่นชมประเทศไทยที่ให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยในการทำงาน และย้ำว่า อนุสัญญาฉบับนี้ได้ถูกยกระดับเป็น “อนุสัญญาพื้นฐานของ ILO” ซึ่งการให้สัตยาบันของไทยจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ประเทศ โดยเฉพาะต่อประเทศคู่ค้าจากยุโรปที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานแรงงานในมิตินี้
นอกจากนี้ ยังได้หารือประเด็นความร่วมมือเชิงนโยบายเพิ่มเติม โดย ILO ได้แสดงความชื่นชมบทบาทของไทยในการดูแลแรงงานข้ามชาติ การสนับสนุนสหภาพแรงงานเมียนมาในช่วงวิกฤต รวมถึงการเตรียมเข้าร่วม Global Coalition for Social Justice ซึ่งจะเสริมสร้างบทบาทของไทยในระดับภูมิภาคให้ชัดเจนยิ่งขึ้น อีกทั้ง ILO ยังยกให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสำคัญขององค์การสหประชาชาติในภูมิภาคเอเชีย โดยมีสำนักงานประจำภูมิภาคตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร
ขณะที่ นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวเสริมว่า โดยทั่วไปแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศมีความพร้อมและไม่ค่อยประสบปัญหา เนื่องจากมีการอบรมและแนะแนวก่อนเดินทาง แต่ยังมีข้อท้าทายเรื่อง “งานไม่ตรงกับความคาดหวังของแรงงาน” ในบางตำแหน่งงาน ซึ่งเป็นจุดที่ไทยจะพัฒนาให้ดีขึ้นต่อไป และ ในช่วงการหารือ ผู้บริหารของกระทรวงแรงงานไทยได้รายงานความคืบหน้าของนโยบายสำคัญ อาทิ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้นำเสนอแนวทางการเสริมทักษะของแรงงานต่างด้าวผ่านกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการทำงาน และได้ตอบข้อซักถามของ ILO ถึงแนวทางการดูแลแรงงานไทยหลังกลับจากต่างประเทศ โดยยกตัวอย่างกรณีแรงงานเกษตรจากอิสราเอล ที่ถูกดึงกลับมาเป็นวิทยากรถ่ายทอดองค์ความรู้ด้าน “เกษตรอัจฉริยะ” หรือ “เกษตรใช้น้ำน้อย” ให้แก่เกษตรกรไทย
ในการนี้ กระทรวงแรงงานมีความยินดีที่จะต้อนรับ ผู้อำนวยการใหญ่ ILO ในการเดินทางเยือนประเทศไทยในเดือนตุลาคม 2568 เพื่อเยี่ยมชมผลการดำเนินงานด้านแรงงานอย่างเป็นรูปธรรม และหารือแนวทางความร่วมมือเพิ่มเติมระหว่างกันต่อไป
------------------------
By: วัฒนรินทร
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น