วช.พร้อมด้วย สวทช. AIT และกรมควบคุมมลพิษ เผยแพร่นวัตกรรมใหม่ในการติดตามฝุ่น PM2.5 จากไอเสียรถยนต์
วช.พร้อมด้วย สวทช. AIT และกรมควบคุมมลพิษ เผยแพร่นวัตกรรมใหม่ในการติดตามฝุ่น PM2.5 จากไอเสียรถยนต์
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวเปิดงานการประชุมเผยแพร่ผลของโครงการศึกษาการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการลดฝุ่นจากไอเสียรถยนต์กลุ่มเป้าหมาย (รถกระบะและรถบรรทุกเครื่องยนต์ดีเซล) ณ โรงแรม อัศวิน แอนด์ คอนเวนชั่น ว่า วช. มุ่งเน้นการสนับสนุนทุนวิจัยในหลายมิติ โดยงานด้านสิ่งแวดล้อม เป็นประเด็นสำคัญทั้งในระดับประเทศ แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ของกรมควบคุมมลพิษ และแผนงานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม “งานวิจัยนวัตกรรมและการใช้ประโยชน์เพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วน ฝุ่นละออง PM2.5 แบบบูรณาการและมุ่งเป้า” ซึ่ง วช. ร่วมขับเคลื่อนกับหน่วยงานเครือข่ายวิจัยและภาครัฐในฐานะหน่วยปฏิบัติอย่างบูรณาการในทุกมิติ ได้แก่ มิติลดปริมาณไอเสียจากการคมนาคม มิติการลดการเผาและจัดการไฟในพื้นที่ป่าและพื้นที่เกษตร มิติลดมลพิษทางอากาศข้ามแดน มิตินโยบายและการสื่อสารเชิงรุก และมิติระบบข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการสนับสนุนแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” และตัดสินใจของกรมควบคุมมลพิษ โดยผลงานวิจัยและนวัตกรรมจาก สวทช. และ AIT ในครั้งนี้เป็นนวัตกรรมใหม่ในการติดตามฝุ่น PM2.5 จากแหล่งกำเนิดภาคคมนาคม (ไอเสียรถยนต์) โดยมีพื้นที่เป้าหมายเร่งด่วนเป็นเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่มีการจราจรคับคั่ง อาศัยแนวทางสำคัญในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้วยระบบคัดกรองตรวจวัดปริมาณไอเสียรถยนต์กลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการพัฒนารูปแบบโมเดลการจัดการเพื่อจำกัดและควบคุมรถยนต์กลุ่มเป้าหมายให้เหมาะสมกับระดับปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 ในบรรยากาศ และแพลตฟอร์มระบบประมวลผล แสดงผลและบริหารจัดการข้อมูลเพื่อคัดกรองและติดตามรถยนต์กลุ่มเป้าหมาย และการแสดงผลสถานการณ์การปล่อยฝุ่นละอองจากภาคคมนาคม รวมทั้งการประยุกต์ใช้นวัตกรรมสู่การประโยชน์เชิงนโยบาย Low Emission Zone ของกรุงเทพมหานครต่อไป
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวถึงที่มาและความสำคัญของเทคโนโลยีและนวัตกรรมซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดปัญหามลพิษอากาศและฝุ่น PM2.5 จากภาคคมนาคมโยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล ซึ่ง สวทช. และ AIT ได้นำความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine learning) เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence, AI) และการสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์ (Computer vision) บนความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานกล้อง CCTV ในระบบควบคุมการจราจร มาใช้เป็นวัตถุดิบหลักของโครงการวิจัยฯ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก วช. และผลผลิตที่เกิดขึ้นจากโครงการวิจัยฯ ล้วนเป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายและมาตรการควบคุมรถยนต์กลุ่มเป้าหมายมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังลดผลกระทบต่อการจราจรปกติ
นอกจากนี้ ภายในงานมีการนำเสนอ “ที่มาและความสำคัญของโครงการ และความก้าวหน้าในการประยุกต์ใช้ระบบกล้อง CCTV ในมาตรการเขตมลพิษต่ำ (Low Emission Zone) แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ของกรุงเทพมหานคร” โดย ดร.นุวงศ์ ชลคุป หัวหน้าโครงการวิจัยฯ และผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยพลังงานคาร์บอนต่ำ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ สวทช. , การนำเสนอ “การพัฒนาระบบตรวจวัดปริมาณควันทึบแสงจากยานยนต์ด้วยวิธี Computer vision” โดย รศ. ดร.เอกบดินทร์ วินิจกุล นักวิจัยจาก AIT , และแพลตฟอร์มประมวลผล แสดงผล และบริหารจัดการข้อมูล เพื่อคัดกรองและติดตามยานยนต์เครื่องยนต์ดีเซลกลุ่มเป้าหมาย โดย ดร.มติ ห่อประทุม และ ดร.รุ่งโรจน์ จินตเมธาสวัสดิ์ นักวิจัยจาก สวทช. , รวมถึงเปิดเวทีให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมแลกเปลี่ยนและให้ข้อเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการสนับสนุน โดย ดร.พีรวัฒน์ สายสิริรัตน์ นักวิจัยจาก สวทช. โดยการประชุมในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยสู่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนสู่การนำไปประยุกต์ใช้และผลักดันให้เกิดการนำผลงานวิจัยประโยชน์ รวมถึงตอบโจทย์เป้าหมายหลักในการแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม เพื่ออากาศสะอาดของคนไทยทุกคนต่อไป
-------------------------
By: วัฒนรินทร
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น