สทนช.ครบรอบ 7 ปี พร้อมก้าวสู่ปีที่ 8 มุ่งสร้างความมั่นคงด้านน้ำในทุกมิติให้ยั่งยืน

สทนช.ครบรอบ 7 ปี พร้อมก้าวสู่ปีที่ 8 มุ่งสร้างความมั่นคงด้านน้ำในทุกมิติให้ยั่งยืน


     ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังการจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครบรอบ 7 ปี โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และรัฐวิสาหกิจ ร่วมแสดงความยินดี ณ สทนช. อาคารจุฑามาศ ถ.วิภาวดีรังสิต เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ว่า เนื่องในโอกาสครบรอบ 7 ปี ของ สทนช. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ได้มีสารถึง สทนช. เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่บุคลากรในการดำเนินงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างบูรณาการในภาพรวมของประเทศให้ดียิ่งขึ้นต่อไป โดยตลอดระยะเวลา 7 ปี สทนช. ได้เดินหน้าขับเคลื่อนการดำเนินงานในฐานะองค์กรหลักในการบูรณาการนโยบายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศอย่างเป็นระบบ ภายใต้ 3 กลไกหลัก ประกอบด้วย กฎหมาย องค์กร และแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี เพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำในทุกมิติอย่างยั่งยืน อาทิ การขับเคลื่อนการออกกฎหมายลำดับรอง ภายใต้พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ.2561 โดยในปีนี้ สทนช.ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการออกกฎหมายลำดับรองเพิ่มเติม จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ 


1.กฎกระทรวงกำหนดลักษณะการใช้น้ำแต่ละประเภท เพื่อเป็นการกำหนดลักษณะหรือรายละเอียดการใช้น้ำประเภทที่หนึ่ง การใช้น้ำประเภทที่สอง และการใช้น้ำประเภทที่สาม 

2.กฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่สองและใบอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่สาม พ.ศ.2567 เพื่อกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่สองและค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่สาม ไม่เกินอัตราที่กำหนด และ 

3.กฎกระทรวงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าใช้น้ำ การเรียกเก็บ ลดหย่อน และยกเว้นค่าใช้น้ำสำหรับการใช้น้ำประเภทที่สองและการใช้น้ำประเภทที่สาม พ.ศ.2567 เพื่อให้กำหนดอัตราค่าใช้น้ำ การเรียกเก็บ ลดหย่อน และยกเว้นค่าใช้น้ำสำหรับการใช้น้ำประเภทที่สองและการใช้น้ำประเภทที่สาม โดยกำหนดให้แตกต่างกันโดยคำนึงถึงกิจกรรม ลักษณะ หรือปริมาณของการใช้น้ำในแต่และประเภทและในแต่ละลุ่มน้ำ



        นอกจากนั้น สทนช.ได้มีส่วนร่วมในการออกกฎหมายลำดับรอง จำนวน 2 ฉบับ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ำ ได้แก่ กฎกระทรวงการอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่สองและประเภทที่สาม พ.ศ.2567 และกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าใช้น้ำประเภทที่สองและประเภทที่สามที่ไม่ใช่น้ำจากทางน้ำชลประทานและไม่ใช่น้ำบาดาล พ.ศ.2567 โดยยังเหลือกฎหมายลำดับรองอีก 3 ฉบับ ที่จะต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ ในส่วนการจัดทำผังน้ำ ตาม พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ จำนวน 22 ลุ่มน้ำ สทนช.ได้เสนอ (ร่าง) ผังน้ำลุ่มน้ำชีและลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนล่าง ต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเห็นชอบแล้วและเตรียมประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป สำหรับผังน้ำที่เหลืออยู่ระหว่างกระบวนการเสนอต่อคณะกรรมการลุ่มน้ำพิจารณา

           ทั้งนี้ การขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (ปรับปรุงช่วงที่ 1 พ.ศ.2566–2580) ที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 29 ส.ค.2567 เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาทรัพยากรน้ำของประเทศในระยะ 20 ปี ที่สอดคล้องแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 19 การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14 และเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ 6 (SDGs 6) ภายใต้กรอบการพัฒนา 5 ด้าน ประกอบด้วย 1.การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค 2.การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต 3.การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย 4.การอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศทรัพยากรน้ำ และ 5.การบริหารจัดการ  นอกจากนี้ คณะกรรมการลุ่มน้ำ ได้จัดทำแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ในเขตลุ่มน้ำ 22 ลุ่มน้ำ (พ.ศ. 2566–2580) ซึ่งสอดคล้องกับแผนแม่บทฯ น้ำ 20 ปี โดย สทนช. ได้เพิ่มศักยภาพในการขับเคลื่อนแผนฯ ให้กับคณะกรรมการลุ่มน้ำ โดยการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) ได้ครอบคลุมทั้ง 22 ลุ่มน้ำ เพื่อนำไปใช้วางแผนด้านทรัพยากรน้ำระดับลุ่มน้ำ สะท้อนความต้องการและบริบทของแต่ละลุ่มน้ำได้อย่างแท้จริง ที่สอดคล้องสมดุลกันทั้ง 3 มิติ ได้แก่ มิติเศรษฐกิจ มิติสังคม และมิติสิ่งแวดล้อม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงแผนแม่บทลุ่มน้ำ เพื่อให้หน่วยงานและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้นำไปใช้จัดทำแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำในพื้นที่ได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งคือ การจัดทำแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำผ่านระบบ Thai Water Plan ที่บูรณาการบริหารจัดการแผนงาน/โครงการด้านน้ำของประเทศอย่างเป็นระบบ โดยมีระบบ GIS (Geographic Information System) หรือระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ช่วยในการวางแผนและวิเคราะห์แผนงานด้านน้ำในเชิงพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อนในการจัดทำแผนงานและการขอจัดตั้งงบประมาณ  สำหรับการบริหารจัดการน้ำในปี 2567 ที่ผ่านมานี้ สทนช.ต้องทำงานท่ามกลางความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ทำให้ความรุนแรงของอุทกภัยเพิ่มมากขึ้น สทนช. จึงเน้นการดำเนินการเชิงรุก ในการประเมิน วิเคราะห์คาดการณ์สถานการณ์น้ำ และวางแผนบริหารแบบกลุ่มลุ่มน้ำที่เชื่อมโยงลุ่มน้ำข้างเคียงที่มีผลต่อการบริหารจัดการซึ่งกันและกัน ทำให้มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเพิ่มมากขึ้น และลดความเสียหายจากอุทกภัยที่เกิดขึ้น และจากการระดมสมองถอดบทเรียนมาตรการรับมือฤดูฝนและมาตรการรองรับฤดูแล้งในปีที่ผ่านมา พร้อมลงพื้นที่ประเมินจุดเสี่ยง ทำให้การคาดการณ์ค่อนข้างแม่นยำ สามารถวางแผนตั้งรับกับสถานการณ์ที่สอดรับกับบริบทของพื้นที่และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยล่วงหน้า เพื่อบูรณาการหน่วยงานต่างๆ เร่งบริหารจัดการมวลน้ำหลากในช่วงสถานการณ์อุทกภัยที่ผ่านมา โดยบริหารจัดการปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและลำน้ำให้มีความสัมพันธ์กัน สามารถกักเก็บน้ำไว้ในแหล่งน้ำ แก้มลิงหรือพื้นที่ลุ่มต่ำได้เต็มศักยภาพ ช่วยบรรเทาปัญหาน้ำท่วมขังและยังเป็นการสำรองน้ำไว้ใช้ช่วงฤดูแล้งถัดไปด้วย จากข้อมูล ณ วันที่ 24 ต.ค.2567 ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำทั่วประเทศรวมกันอยู่ที่ 65,373 ล้าน ลบ.ม. หรือ 81% ของปริมาณความจุเก็บกักซึ่งมากกว่าปริมาณน้ำในปี 2566 จำนวน 3,059 ล้าน ลบ.ม. นับว่าปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ทำให้สามารถใช้ได้อย่างเพียงพอตลอดช่วงฤดูแล้งนี้


            เลขาธิการ สทนช. กล่าวต่อไปว่า ในส่วนงานด้านต่างประเทศ สทนช.ยังคงมุ่งมั่นบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบองค์รวมเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป้าหมายที่ 6 “สร้างหลักประกันว่าจะมีการจัดให้มีน้ำและสุขอนามัยสำหรับทุกคนและมีการบริหารจัดการที่ยั่งยืน” โดยการบูรณาการความร่วมมือข้ามพรมแดนและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อให้เกิดความยั่งยืนร่วมกันในระดับภูมิภาคและระดับโลก รวมทั้งการสนับสนุนการบูรณาการบริหารจัดการน้ำระหว่างประเทศ ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลลุ่มน้ำสาขาของแม่น้ำโขง ในการพัฒนาระบบพยากรณ์และเตือนภัยน้ำท่วมในลุ่มน้ำสาขาของแม่น้ำโขง โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) และการสร้างสถานีอุทกวิทยาในพื้นที่ริมแม่น้ำโขง ได้แก่ สถานีเขมราฐ  จ.อุบลราชธานี และสถานีแม่จัน จ.เชียงราย เพื่อความแม่นยำในการแจ้งเตือนภัยให้กับประชาชนได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ ในปี 2568 ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง หรือ MRCS CEO จะเป็นผู้แทนจากประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลให้ไทยมีบทบาทมากขึ้นในการขับเคลื่อนการพัฒนาลุ่มน้ำโขงให้เป็นไปตามเป้าหมายร่วมกัน ที่มุ่งสร้างความเท่าเทียมและความสมดุลในระหว่างประเทศสมาชิก และเกิดความยั่งยืนของลุ่มน้ำโขงในที่สุด

     “สำหรับการก้าวเดินเข้าสู่ปีที่ 8 และปีต่อๆไป โจทย์ที่ท้าทายการทำงานของ สทนช. ประกอบด้วยหลายปัจจัย ได้แก่ ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงของผังน้ำ การใช้ประโยชน์ที่ดินที่เปลี่ยนแปลงไป วัฒนธรรมการใช้ชีวิตแบบชุมชนเมืองที่แผ่ขยายมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้เกิดผลกระทบด้านน้ำในเรื่องต่างๆ ได้แก่ อุทกภัย ภัยแล้ง และปัญหาคุณภาพน้ำ แต่ สทนช. ก็ตั้งมั่นที่จะเป็นหน่วยงานกลางที่จะบูรณาการการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำในทุกมิติอย่างยั่งยืนต่อไป” เลขาธิการ สทนช. กล่าวในตอนท้าย

                                  -------------------------------------

By: วัฒนรินทร

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

14 ปี กรมหม่อนไหม สืบสานภูมิปัญญา พัฒนาสู่ความยั่งยืน

สวก. เตรียมโชว์งานวิจัยเด่น 6 เมกะเทรนด์เปลี่ยนโลก 20 - 21 พ.ย.นี้ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ม.เกริกมอบโล่เกียรติคุณเชิดชูเกียรติ “นักการเมืองดีเด่นยอดเยี่ยม ประจำปี 2567”