น้ำ EEC มีเพียงพอ เชื่อมั่นความร่วมมือจากทุกภาคส่วนช่วยลดผลกระทบเอลนีโญ
น้ำ EEC มีเพียงพอ เชื่อมั่นความร่วมมือจากทุกภาคส่วนช่วยลดผลกระทบเอลนีโญ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ตามข้อห่วงใยของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับปัญหาขาดแคลนน้ำภาคอุตสาหกรรมจากสถานการณ์เอลนีโญ พบว่า แม้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา พื้นที่ EEC จะมีปริมาณฝนสะสมต่ำกว่าค่าเฉลี่ยค่อนข้างมาก แต่เนื่องจากในช่วงปลายฤดูฝนมีร่องมรสุมพาดผ่าน ทำให้ฝนตกหนักและมีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ในภาคตะวันออกทั้ง 6 แห่ง มีปริมาณน้ำ 82% ของปริมาณความจุ ซึ่งคาดว่าจะเพียงพอกับความต้องการใช้น้ำในทุกภาคส่วน รวมถึงภาคอุตสาหกรรม โดยได้เน้นย้ำให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) บริหารจัดการน้ำต้นทุนที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงใช้โครงข่ายน้ำภาคตะวันออกในการเชื่อมโยงแหล่งน้ำแต่ละแห่งในลักษณะอ่างพวงให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำให้กับภาคอุตสาหกรรม รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ ที่ผ่านมา สทนช. มีการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวางแผนรองรับสถานการณ์เอลนีโญ โดยมีการสูบผันน้ำผ่านโครงข่ายน้ำภาคตะวันออกเพื่อเติมน้ำทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสูบผันน้ำจากคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต-คลองพานทอง-อ่างเก็บน้ำบางพระ การสูบผันน้ำจากแม่น้ำบางปะกง-อ่างเก็บน้ำบางพระ การสูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์-อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล การสูบน้ำจากสถานีสูบน้ำคลองสะพาน-อ่างเก็บน้ำประแสร์ การสูบผันน้ำจากคลองวังโตนด-อ่างเก็บน้ำประแสร์ และการสูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์-อ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ นอกจากนี้ ได้กำชับให้ สทนช. บริหารจัดการน้ำในภาพรวมของประเทศโดยไม่ประมาท แม้ว่าขณะนี้อ่างเก็บน้ำต่าง ๆ จะมีสถานการณ์ดีขึ้นจากฝนปลายฤดูดังกล่าว โดยมีปริมาณน้ำต้นทุนทั่วประเทศเพิ่มขึ้นรวมประมาณ 80% ของความจุ แต่ยังคงต้องวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างรอบคอบ ระมัดระวัง และสอดคล้องกับสถานการณ์ โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดสรรน้ำซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยสั่งการให้ สทนช. บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดสรรน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ เพื่อสนับสนุนการใช้น้ำในทุกกิจกรรม ตามลำดับความสำคัญ ดังนี้
1.เพื่อการอุปโภคบริโภคและการประปา
2.เพื่อการรักษาระบบนิเวศ
3.เพื่อสำรองน้ำไว้สำหรับการใช้น้ำในช่วงต้นฤดูฝนปี 2567
4.เพื่อการเกษตร
5.เพื่อการอุตสาหกรรม และ
6.เพื่อการพาณิชย์และท่องเที่ยว
รวมถึงให้เร่งขับเคลื่อนการดำเนินการตาม 9 มาตรการรับมือฤดูแล้ง ปี 2566/67 อย่างเคร่งครัด โดยเชื่อมั่นว่าการเตรียมพร้อมบริหารจัดการน้ำของภาครัฐภายใต้สถานการณ์เอลนีโญ ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ฤดูฝนส่งต่อสู่ฤดูแล้ง และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จะช่วยป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์เอลนีโญได้อย่างมีประสิทธิภาพ
--------------------------
By: วัฒนรินทร
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น