สมาคมเทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์ย้ำ เทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนมนำมาใช้ประโยชน์ได้จริงในภาคเกษตร ช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และยกระดับประเทศ สู่การเป็นศูนย์กลางด้านการเกษตรและอาหารของโลก

สมาคมเทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์ย้ำ เทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนมนำมาใช้ประโยชน์ได้จริงในภาคเกษตร ช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และยกระดับประเทศ สู่การเป็นศูนย์กลางด้านการเกษตรและอาหารของโลก

สมาคมเทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์ จัดเสวนาวิชาการเรื่อง “จากนโยบายสู่การปฏิบัติและประโยชน์ที่จะได้รับจากเทคโนโลยีปรับแต่งจีโนม” ณ โรงแรมมารวย การ์เด้นส์ กทม. เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและสร้างความเข้าใจ เพื่อให้เกิดการยอมรับและนำไปสู่การใช้ประโยชน์จากพืชปรับแต่งจีโนม โดยได้รับเกียรติจากนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญร่วมเป็นวิทยากรบรรยาย อาทิ ดร.ปิยรัตน์ ธรรมกิจวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ กรมวิชาการเกษตร บรรยายพิเศษ เรื่อง แนวนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีปรับแต่งจีโนม , นางสาวชิดชนก เกษี นักวิเคราะห์อาวุโส 1 สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) บรรยายพิเศษ เรื่อง มุมมองของผู้สนับสนุนทุนวิจัย นอกจากนี้ยังมีการเสวนา ประเด็น ความก้าวหน้าของงานวิจัยและพัฒนาเพื่อตอบสนอง แนวนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม และประโยชน์ที่จะได้รับ ด้านการเกษตร และด้านการแพทย์ โดยมีวิทยากรประกอบด้วย รศ.ดร.ศุภชัย วุฒิพงศ์ชัยกิจ ภาควิชาพันธุศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ , ดร.วีระศักดิ์ พิทักษ์ศฤงคาร สำนักวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ กรมวิชาการเกษตร , ผู้เชี่ยวชาญคงภพ อำพลศักดิ์ (ด้านพันธุกรรมสัตว์น้ำ) กองวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี อุตสาหกรรมสัตว์น้ำ กรมประมง , ผู้เชี่ยวชาญกมล ฉวีวรรณ (ด้านพัฒนาพันธุ์สุกร) สำนักพัฒนาพันธุ์สัตว์ กรมปศุสัตว์ และศาสตราจารย์ นายแพทย์วรศักดิ์ โชติเลอศักดิ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรค พันธุกรรม สาขาวิชาเวชพันธุศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

          ดร.นิพนธ์ เอี่ยมสุภาษิต นายกสมาคมเทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์ เปิดเผยว่า  สมาคมเทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2548 เพื่อสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีชีวภาพ กิจกรรมหลักที่ดำเนินการ คือ การเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นจริงเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ ที่เริ่มจากเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม ที่มีการถ่ายฝากสารพันธุกรรมจากสิ่งมีชีวิตอื่น มาเป็นเทคโนโลยีปรับแต่งจีโนม ที่ไม่มีการถ่ายฝากสารพันธุกรรมจากสิ่งมีชีวิตอื่น ทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างความเข้าใจ เพื่อให้เกิดการยอมรับและนำไปสู่การใช้ประโยชน์จากพืชปรับแต่งจีโนม ที่ผ่านมาสมาคมได้ทำการประชาสัมพันธ์ เรื่อง "การปรับแต่งจีโนมพืชเพื่อรับมือกับสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง" เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2567 เพื่อชี้ให้เห็นว่าการผลิตพืชในปัจจุบันต้องเผชิญกับความท้าทายจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง มีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาพันธุ์พืชเพื่อสู้กับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงดังกล่าว พร้อมทั้งแนะนำให้รู้จักเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม และการประชาสัมพันธ์ เรื่อง "พืชปรับแต่งจีโนม ที่ใกล้จะนำไปใช้ประโยชน์และการกำกับดูแล" เมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2568 เผยแพร่ผลการวิจัยและพัฒนา พันธุ์พืชด้วยเทคนิคการปรับแต่งจีโนมที่ใกล้จะนำมาใช้ประโยชน์ รวมทั้ง การขอรับรองสิ่งมีชีวิตที่พัฒนาจากเทคโนโลยีปรับแต่งจีโนมเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคการเกษตร พ.ศ.2567 ซึ่งจะเป็นเครื่องมือยืนยันให้สาธารณชนได้รับทราบว่า พืชดังกล่าวไม่ใช่พืชดัดแปลงพันธุกรรมหรือจีเอ็มโอ ผลิตภัณฑ์ปรับแต่งจีโนมที่วางจำหน่ายในท้องตลาด และรวมถึงการใช้เทคโนโลยีนี้ในทางการแพทย์

          ทั้งนี้ ในประเทศไทยยังไม่มีผลิตภัณฑ์ปรับแต่งจีโนมวางจำหน่ายในท้องตลาด แต่ในต่างประเทศพบว่ามีวางจำหน่ายกันบ้างแล้วในท้องตลาด เช่น กรณีพืช ได้แก่ น้ำมันถั่วเหลืองโอเลอิกสูง (Calyno) เห็ดและ ผักกาดหอมที่ไม่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และมะเขือเทศที่มีสาร GABA สูง กรณีประมง ได้แก่ ปลามะได (Red Sea Beam) และปลาปักเป้าลายเสือ (tiger puffer fish) ที่โตเร็วและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ กรณีปุสัตว์ ได้แก่ สุกรที่ด้านทานต่อโรคระบบสืบพันธุ์และระบบทางเดินหายใจของสุกร (porcine reproductive and respiratory syndrome - PRRS) สำหรับในทางการแพทย์มีการใช้เทคโนโลยี CRISPR/Cas9 เข้าไปแก้ไขยืนในสเต็มเซลล์ของผู้ป่วยเอง แล้วนำกลับเข้าสู่ร่างกาย เพื่อรักษาโรคโลหิตจางชนิดชิกเคิลเซลล์ (Sickle Cell Disease) ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรม

         สำหรับการบรรยายพิเศษและการเสวนาทางวิชาการในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าประเทศไทยมีนโยบายที่ชัดเจนในการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนมในภาคการเกษตร โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และยกระดับประเทศ สู่การเป็นศูนย์กลางด้านการเกษตรและอาหารของโลก ส่วนด้านการแพทย์ยังอยู่ในขั้นตอนการร่างแนวทางนโยบายการแพทย์แม่นยำ และรวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลระดับยืนเพื่อการวินิจฉัย ป้องกัน และรักษาโรคที่มีความแม่นยำมากขึ้น นอกจากนี้ ยังนำเสนอ "มุมมองของผู้สนับสนุนทุนวิจัย" โดยสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) มีความเห็นว่า "การพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมทางการเกษตรจะช่วยลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งการรักษาโรคทางพันธุกรรม  ส่วนการเสวนาทางวิชาการ ประเด็น "ความก้าวหน้าของงานวิจัยและพัฒนาเพื่อตอบสนองแนวนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีปรับแต่งจีโนม ด้านการเกษตรและด้านการแพทย์" พอสรุปได้ ดังนี้ 

   - กรณีพืช ในช่วงปีที่ผ่านมามีความก้าวหน้าในการศึกษาวิจัยและพัฒนา พันธุ์ฟ้าทะลายโจรที่มีสารแอนโคกราโฟไลด์สูง พันธุ์มะเขือเทศต้านทานโรคเหี่ยวเหลือง พันธุ์มะละกอที่ต้านทานไวรัสจุดวงแหวน พันธุ์สับปะรดที่ป้องกันอาการไส้สีน้ำตาล และการเปลี่ยนสีดอกพิทูเนียโดยใช้เทคโนโลยีปรับแต่งจีโนม มีการวิจัยค้นหายืนในพืชสำคัญ ข้าวโพด มันสำปะหลัง และเห็ดแครง การปรับปรุงพันธุ์พืชด้วยเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม อาทิ ถั่วเหลืองทนแล้ง/โปรตีนสูง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทนแล้ง และเห็ดฟางทนเย็น อ้อยทนเค็ม ฯลฯ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิกฤติความมั่นคงทางอาหาร และมีโครงการวิจัยริเริ่มในข้าวเพิ่มความหอมและนุ่ม เพิ่มความต้านทานโรคไหม้ และมันสำปะหลังเพิ่มผลผลิตและต้านทานโรค ตลอดจนการ พัฒนาเทคนิคพื้นฐานสำหรับ มันสำปะหลัง อ้อย และ กล้วยไม้สกุลหวาย เป็นต้น

   - กรณีประมง มีงานวิจัยด้านพันธุกรรมสัตว์น้ำอย่างต่อเนื่อง ด้วยความร่วมมือกับสถาบันวิจัยอื่นๆ เช่น ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมุ่งเน้นการปรับปรุง ลักษณะที่ต้องการ เช่น อัตราการเจริญเตืบโตที่เร็วขึ้น ความต้านทานโรค และประสิทธิภาพการใช้อาหารในสัตว์น้ำเศรษฐกิจ เช่น ปลานิล ปลากะพงขาว และกุ้งกุลาดำ แต่การศึกษาวิจัยด้านเทคโนโลยีปรับแต่งจีโนมยังอยู่ในระยะเริ่มต้น

   - กรณีปศุสัตว์ มีการใช้เทคโนโลยีจีโนมในการประเมินพันธุ์ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการประเมินค่าทาง พันธุกรรมของสัตว์ นอกจากนี้ มีการใช้เทคโนโลยี "การคัดเลือกด้วยเครื่องหมายพันธุกรรม (Marker Assisted Selection, MAS)" และ "การคัดเลือกจีโนม (Genomic Selection) เพื่อปรับปรุงพันธุ์สัตว์เศรษฐกิจ โดยเฉพาะในโคเนื้อและโคนมลูกผสมไทย และยังมีงานวิจัยในสุกรเพื่อศึกษายืนที่เกี่ยวข้องกับกลิ่นสาบทางเพศ และการศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรมในไก่พื้นเมืองเพื่อใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ แต่การศึกษาวิจัยด้านเทคโนโลยีปรับแต่งจีโนมโดยตรงยังเพิ่งอยู่ในระยะเริ่มต้นเช่นกัน

   - ด้านการแพทย์ มีการใช้เทคโนโลยีการแพทย์ขั้นสูงที่มุ่ง "ซ่อมแซม" หรือ "ทดแทน" ยืนที่ผิดปกติ เพื่อรักษาโรคทางพันธุกรรมให้หายขาด ถือเป็นความหวังสูงสุดและเป็นจุดหมายปลายทางของการแพทย์จีโนมิกส์ เช่น การรักษามะเร็งด้วยยืนบำบัด (CAR T-cell Therapy) รวมทั้งการวิจัยยีนบำบัดสำหรับโรคจอตาเสื่อม เป็นต้น ทั้งนี้ ยังมีประเด็นท้าทายอีกมาก ทั้งทางเทคนิค จริยธรรม สังคม และกฎหมาย ที่ต้องการความร่วมมือจากประชาคม

     “เมื่อกล่าวถึงประโยชน์ที่ได้รับ ประโยชน์หลักๆ ใน ด้านการเกษตร คือ ได้พันธุ์พืชให้ทนทานต่อโรคสภาพอากาศ ต้านทานศัตรูพืช และเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อเกษตรกรและผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม และด้านการแพทย์ เช่น การผลิตยา วัคซีน และการรักษาโรคทางพันธุกรรม ซึ่งประชาชนทั่วไปจะ มีสุขอนามัยที่ดีขึ้นและหายจากโรคทางพันธุกรรม” นายกสมาคมเทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์ กล่าวทิ้งท้าย

                              -------------------------

By: วัฒนรินทร

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กรมวิชาการเกษตรเดินหน้าอบรมผู้ควบคุมการใช้โดรนพ่นสาร ตั้งเป้า 5,000 ราย ทั่วประเทศภายในปี 70

ธ.ก.ส. เปิดตัวสลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดมังกรหยก หน่วยละ 100 บาท ลุ้นโชคใหญ่ 10 ล้าน พร้อมลุ้นรางวัลพิเศษรวมกว่า 16 ล้านบาท